Browse By

เออร์ลิง ฮาแลนด์ ทำ 2 ประตูให้ แมนฯ ซิตี้ ก่อนโดนโมนาโกตีเสมอ 2-2

เออร์ลิง ฮาแลนด์ ดาวยิงร่างยักษ์ของ แมนฯ ซิตี้ กลับมาแสดงให้เห็นถึงความเฉียบคมและพลังในการจบสกอร์ที่โลกฟุตบอลยากจะละสายตาได้อีกครั้ง หลังเหมาคนเดียวสองประตูในเกมที่ต้นสังกัดบุกไปเยือนโมนาโก ทีมดังแห่งลีกเอิง ฝรั่งเศส ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม นัดที่สอง ซึ่งลงเอยด้วยผลเสมอ 2-2 ในเกมที่ทั้งสองทีมต่างเปิดเกมแลกกันอย่างสนุกและมีช่วงเวลาที่ต่างฝ่ายต่างเหนือกว่าในแต่ละจังหวะของการแข่งขัน โดยเฉพาะการต่อสู้กันระหว่างแนวรับของโมนาโกกับพลังการทะลวงของฮาแลนด์ที่กลายเป็นจุดเด่นของค่ำคืนนี้ เกมนี้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุนซือของ แมนฯ ซิตี้ ตัดสินใจจัดผู้เล่นชุดผสมระหว่างตัวจริงและตัวสำรองลงสนาม หลังจากมีโปรแกรมพรีเมียร์ลีกสุดสัปดาห์รออยู่ โดยให้ฮาแลนด์ยืนเป็นหน้าเป้าตามปกติ ขนาบข้างด้วยฟิล โฟเด้นและแจ็ค กรีลิช ขณะที่เควิน เดอ บรอยน์ได้พัก ส่วนแบร์นาร์โด้ ซิลวาและมัตเตโอ โควาซิชคุมเกมแดนกลาง ด้านโมนาโกของอาดี ฮุตเตอร์ก็ไม่ยอมอ่อนข้อ ส่งวิสซัม เบน เยแดร์และโฟลาริน บาโลกุนลงล่าตาข่ายพร้อมกัน หวังใช้ความเร็วเล่นงานแนวรับซิตี้ที่มีรูเบน ดิอาสกับมานูเอล อาคันจีเป็นแกนหลัก

ฮันซี่ ฟลิค ยอมรับควรจัดการกับสถานการณ์ มาร์ก-อันเดร แทร์ ชเตเก้น

ฮันซี่ ฟลิค เฮดโค้ชของบาร์เซโลน่า ออกมายอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า เขาควรจัดการกับสถานการณ์ของมาร์ก-อันเดร แทร์ ชเตเก้น ผู้รักษาประตูมือหนึ่งของทีมให้ดีกว่าที่เกิดขึ้นในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา หลังจากมีข่าวลือว่าทั้งสองฝ่ายมีความเข้าใจผิดกันในเรื่องของการสื่อสารและการบริหารจัดการเวลาในช่วงปรีซีซั่น จนทำให้เกิดความตึงเครียดเล็กน้อยภายในทีม การออกมายอมรับของฟลิคครั้งนี้ถือเป็นสัญญาณที่ดีในเชิงความสัมพันธ์ระหว่างโค้ชและนักเตะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อแทร์ ชเตเก้นถือเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่มีอิทธิพลมากที่สุดในห้องแต่งตัวของบาร์เซโลน่า และเป็นผู้นำทั้งในสนามและนอกสนามมาตลอดหลายฤดูกาลที่ผ่านมา การพูดอย่างเปิดเผยของกุนซือชาวเยอรมันจึงได้รับการชื่นชมจากทั้งแฟนบอลและสื่อในสเปน ที่มองว่าเป็นการแสดงถึงความเป็นมืออาชีพและความรับผิดชอบในบทบาทผู้นำทีมอย่างแท้จริง เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่บาร์เซโลน่าเริ่มต้นการเตรียมทีมสำหรับฤดูกาลใหม่ภายใต้การคุมทีมของฮันซี่ ฟลิค ที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งแทนชาบี เอร์นานเดซ ขณะนั้นแทร์ ชเตเก้นยังอยู่ในช่วงพักฟื้นหลังจากเข้ารับการผ่าตัดรักษาอาการบาดเจ็บที่หลังในปลายฤดูกาลก่อน ทำให้ไม่สามารถเดินทางร่วมทีมไปทัวร์ปรีซีซั่นที่สหรัฐอเมริกาได้ อย่างไรก็ตาม มีรายงานจากสื่อเยอรมันว่า ฟลิคต้องการให้แทร์ ชเตเก้นมีส่วนร่วมในแคมป์ฝึกซ้อมมากกว่าที่เกิดขึ้น เพื่อสร้างความต่อเนื่องและบรรยากาศการทำงานร่วมกันภายในทีม ขณะที่ฝั่งของนักเตะและทีมแพทย์มองว่าควรให้ผู้รักษาประตูรายนี้พักรักษาอาการอย่างเต็มที่ก่อนกลับมาซ้อม ซึ่งความเห็นที่ไม่ตรงกันนี้เองทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนระหว่างทั้งสองฝ่าย ล่าสุด ฟลิคได้ออกมาเปิดใจถึงเรื่องนี้กับ Sport Bild โดยกล่าวว่า “ผมต้องยอมรับว่าผมควรจัดการสถานการณ์ของมาร์กให้ดีกว่านี้ เรามีความเห็นต่างกันในเรื่องการเตรียมตัวสำหรับฤดูกาลใหม่ แต่ในฐานะโค้ช ผมควรเป็นฝ่ายสื่อสารให้ชัดเจนกว่านี้ เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด เขาเป็นมืออาชีพและเป็นคนที่ผมเคารพอย่างมาก” กุนซือชาวเยอรมันวัย 59 ปียังกล่าวต่อว่า

น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ประกาศตัว จอห์น วิคเตอร์

น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ สโมสรในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ประกาศคว้าตัว จอห์น วิคเตอร์ นักเตะบราซิเลียนฝีเท้าจัดจ้านเข้าสู่ทีม ข่าวนี้สร้างความตื่นเต้นทั้งในหมู่แฟนบอลและสื่อมวลชน เพราะสะท้อนถึงความทะเยอทะยานของฟอเรสต์ที่จะไม่หยุดเพียงการดิ้นรนหนีตกชั้น แต่ต้องการพัฒนาทีมให้ยืนระยะในลีกสูงสุดอย่างมั่นคง โปรไฟล์และเส้นทางของจอห์น วิคเตอร์ จอห์น วิคเตอร์ เติบโตมาจากระบบเยาวชนในประเทศบราซิล ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตนักเตะที่เต็มไปด้วยพรสวรรค์ เขาเริ่มต้นอาชีพกับทีมท้องถิ่น ก่อนจะไต่เต้าสู่สโมสรใหญ่ในบ้านเกิดและโชว์ฟอร์มที่โดดเด่น เหตุผลที่ฟอเรสต์เลือกคว้าตัว 1. ความต้องการเพิ่มมิติการโจมตี ฟอเรสต์ในฤดูกาลก่อนมีปัญหาการจบสกอร์และการสร้างโอกาสจากริมเส้น การได้ผู้เล่นอย่างจอห์น วิคเตอร์เข้ามาช่วยเปิดเกมรุกจากด้านข้างถือเป็นคำตอบที่ชัดเจน 2. การลงทุนเชิงอนาคต อายุยังน้อยของเขาทำให้เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า หากโชว์ฟอร์มได้ดี ฟอเรสต์อาจสร้างกำไรจากการขายในอนาคต หรือเก็บไว้เป็นกำลังหลักในระยะยาว 3. การสร้างสมดุลทีม การมีนักเตะที่เล่นได้ทั้งสองฝั่ง ช่วยให้ผู้จัดการทีมมีความยืดหยุ่นในการจัดแท็กติกมากขึ้น มิติแท็กติก : บทบาทของจอห์น วิคเตอร์ ในระบบ 4-2-3-1 เขาสามารถยืนเป็นปีกซ้ายหรือปีกขวา คอยลากเลื้อยและครอสบอลให้กองหน้าตัวเป้า หรือหุบเข้ามายิงเองได้ ในระบบ

คอสตาส ซิมิกาส แบ็กซ้ายลิเวอร์พูล ย้ายไปอยู่กับ โรม่า

ข่าวการที่ คอสตาส ซิมิกาส แบ็กซ้ายทีมชาติกรีซของลิเวอร์พูลตัดสินใจย้ายไปอยู่กับ อาแอส โรม่า ในกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี กลายเป็นประเด็นที่ทำให้แฟนบอลทั้งสองลีกจับตามอง การย้ายครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนเสื้อทีม แต่ยังเป็นการเปลี่ยนสภาพแวดล้อมจากพรีเมียร์ลีกที่รวดเร็วและเข้มข้น ไปสู่กัลโช่ เซเรีย อาที่เน้นแท็กติกและเกมรับอย่างละเอียด นี่คือโอกาสครั้งใหม่ที่ซิมิกาสจะได้พิสูจน์ตัวเอง และสำหรับโรม่า นี่คือการเสริมทัพที่สำคัญในตำแหน่งฟูลแบ็กที่พวกเขาต้องการมานาน โปรไฟล์และเส้นทางของคอสตาส ซิมิกาส ซิมิกาส เกิดที่เธสซาโลนิกิ ประเทศกรีซ เขาเริ่มต้นอาชีพกับ โอลิมเปียกอส สโมสรยักษ์ใหญ่ในกรีซ และแสดงให้เห็นถึงศักยภาพตั้งแต่อายุยังน้อย ก่อนจะถูกยืมตัวไปเล่นในลีกต่างแดนทั้งเดนมาร์กและเนเธอร์แลนด์เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ปี 2020 ลิเวอร์พูลตัดสินใจคว้าตัวเขามาเสริมทีมในฐานะตัวเลือกสำรองของ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน แบ็กซ้ายตัวจริงของทีม ถึงแม้เขาจะไม่ได้ลงสนามต่อเนื่อง แต่ก็สร้างผลงานสำคัญไว้หลายครั้ง โดยเฉพาะการยิงจุดโทษตัดสินในรอบชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ 2022 ที่ทำให้ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ เหตุผลที่ตัดสินใจย้ายไปโรม่า 1. ความต้องการโอกาสลงสนาม

บาร์เซโลน่า ต้องการควบคุมพัฒนาของ มาร์ก เบร์นาล

มาร์ก เบร์นาล บาร์เซโลน่าเป็นหนึ่งในสโมสรที่ทั่วโลกยกย่องเรื่อง การสร้างดาวรุ่งจากอะคาเดมีลามาเซีย (La Masia) ซึ่งเคยผลิตนักเตะระดับตำนานอย่าง ชาบี เอร์นานเดซ, อันเดรส อิเนียสต้า, เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ และแน่นอน ลิโอเนล เมสซี่ วันนี้ชื่อใหม่ที่ถูกพูดถึงมากคือ มาร์ก เบร์นาล กองกลางดาวรุ่งที่ได้รับการจับตามองว่าอาจเป็นเสาหลักในอนาคต การที่บาร์เซโลน่าต้องการควบคุมพัฒนาของเขาไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการวางแผนอย่างจริงจัง เพื่อรักษาความต่อเนื่องในสไตล์การเล่นที่สโมสรภาคภูมิใจ โปรไฟล์ของมาร์ก เบร์นาล มาร์ก เบร์นาล เกิดในคาตาลุนญา และเติบโตขึ้นภายใต้ระบบของลามาเซียตั้งแต่อายุยังน้อย เขาเล่นในตำแหน่งกองกลางตัวรับหรือกองกลางเชื่อมเกม ซึ่งถือเป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญยิ่งในระบบของบาร์เซโลน่า เหตุผลที่บาร์ซ่าต้องการควบคุมพัฒนา มิติแท็กติก : บทบาทของเบร์นาลในสนาม บาร์เซโลน่าใช้ระบบที่ยึดหลักการครองบอลและการเคลื่อนที่เป็นทีม กองกลางตัวรับคือผู้ที่คอย “เชื่อมจังหวะ” ระหว่างแนวรับและแนวรุก การฝึกให้เบร์นาลเข้าใจแท็กติกเหล่านี้ตั้งแต่เยาว์วัย เป็นการเตรียมความพร้อมให้เขากลายเป็นหัวใจใหม่ของแดนกลางบาร์ซ่า วัฒนธรรมลามาเซียและความต่อเนื่อง การปั้นดาวรุ่งไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับบาร์ซ่า แต่เป็นวัฒนธรรมที่หยั่งรากลึก ลามาเซียคือ

อัล-นาเซอร์ : ยักษ์ใหญ่แห่งซาอุดิ โปร ลีก

หากพูดถึงสโมสรฟุตบอลที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในซาอุดิอาระเบีย ณ เวลานี้ ชื่อของ อัล-นาเซอร์ (Al-Nassr FC) คงเป็นทีมแรก ๆ ที่แฟนบอลทั่วโลกนึกถึง ไม่ว่าจะเป็นเพราะความสำเร็จในประเทศ การแข่งขันกับคู่ปรับอย่างอัล-ฮิลาล หรือการสร้างแรงสั่นสะเทือนด้วยการดึงซูเปอร์สตาร์ระดับโลกอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เข้ามาอยู่ในทีม อัล-นาเซอร์ไม่ใช่เพียงสโมสรฟุตบอล แต่คือเครื่องมือสำคัญที่สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงของซาอุดิ โปร ลีก และยังเป็นตัวแทนของการเชื่อมโยงระหว่างฟุตบอลกับเศรษฐกิจ การเมือง และภาพลักษณ์ระดับนานาชาติ ประวัติศาสตร์และรากฐานของอัล-นาเซอร์ ก่อตั้งขึ้นในปี 1955 อัล-นาเซอร์ถือเป็นหนึ่งในสโมสรที่เก่าแก่และมีเกียรติประวัติยาวนานที่สุดในซาอุดิอาระเบีย พวกเขามีสนามเหย้าคือ มราสซูล ปาร์ค (Mrsool Park) ที่ตั้งอยู่ในกรุงริยาด ซึ่งมักเต็มไปด้วยแฟนบอลนับหมื่นที่มอบแรงเชียร์อย่างล้นหลาม ตลอดเวลาหลายทศวรรษ อัล-นาเซอร์คว้าแชมป์ลีกสูงสุดซาอุดิ โปร ลีกหลายครั้ง และยังประสบความสำเร็จในฟุตบอลถ้วย ทั้งในประเทศและระดับทวีปเอเชีย โดยเฉพาะการเป็นสโมสรจากเอเชียทีมแรกที่ได้ลงแข่งขันใน ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ

ซาอุดิ โปร ลีก : การก้าวกระโดดของฟุตบอลตะวันออกกลาง

โลกฟุตบอลได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในตะวันออกกลาง และหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงนี้คือ ซาอุดิ โปร ลีก (Saudi Pro League) ลีกสูงสุดของซาอุดิอาระเบียที่กำลังทุ่มทุนมหาศาลเพื่อดึงดูดซูเปอร์สตาร์จากยุโรปและอเมริกาใต้เข้ามา จากลีกที่เคยถูกมองข้าม กลายเป็นหนึ่งในลีกที่สื่อทั่วโลกพูดถึงมากที่สุดในปัจจุบัน และทำให้ซาอุดิ โปร ลีกถูกยกให้เป็น “โปรเจกต์แห่งชาติ” ที่ไม่ได้มีแค่ฟุตบอล แต่ยังรวมถึงเศรษฐกิจ การเมือง และภาพลักษณ์ระดับโลก ประวัติศาสตร์และการก่อตั้ง ซาอุดิ โปร ลีกก่อตั้งขึ้นในปี 1976 ภายใต้ชื่อ Saudi Premier League ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น Saudi Professional League ในปี 2008 จุดเริ่มแรกเป็นเพียงลีกท้องถิ่นที่มีการแข่งขันระหว่างสโมสรไม่กี่ทีม แต่ค่อย ๆ เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ทีมยักษ์ใหญ่ดั้งเดิมอย่าง อัล-ฮิลาล, อัล-อิตติฮัด, อัล-นาเซอร์ และอัล-อาห์ลี ถือเป็นสโมสรที่แบกรับความนิยมมานาน

ลีกเยอรมัน : เสน่ห์ บทเรียน และความเข้มข้นของบุนเดสลีกา

ลีกเยอรมัน เมื่อพูดถึงลีกฟุตบอลใหญ่ของยุโรป หลายคนอาจนึกถึงพรีเมียร์ลีกที่เต็มไปด้วยเงินมหาศาล, ลาลีกาที่เน้นศิลปะการเล่น, หรือกัลโช่ เซเรีย อาที่มีความเข้มงวดทางแท็กติก แต่หากมองไปที่ประเทศเยอรมนี เราจะเห็นลีกที่แตกต่างออกไปอย่างชัดเจน นั่นคือ บุนเดสลีกา ลีกที่ขึ้นชื่อเรื่องความสมดุลทางการเงิน การพัฒนาเยาวชน และแฟนบอลที่เต็มไปด้วยพลัง ประวัติศาสตร์และการก่อตั้ง บุนเดสลีกาถูกก่อตั้งในปี 1963 หลังจากเยอรมนีประสบความสำเร็จในการแข่งขันฟุตบอลโลก การจัดตั้งลีกในระบบอาชีพเป็นการยกระดับวงการฟุตบอลเยอรมันให้เทียบเท่าประเทศอื่นในยุโรป ตั้งแต่นั้นมา บุนเดสลีกาก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง ผลิตทั้งนักเตะระดับโลกและสโมสรที่สร้างชื่อเสียงในเวทียุโรป เช่น บาเยิร์น มิวนิค, โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์, และ ฮัมบูร์ก ที่เคยคว้าแชมป์ยูโรเปียนคัพ จุดเด่นของบุนเดสลีกา 1. การพัฒนาเยาวชน สโมสรเยอรมันให้ความสำคัญกับ อะคาเดมี มาก ทุกทีมต้องมีระบบเยาวชนที่เข้มแข็ง ตัวอย่างชัดเจนคือ ดอร์ทมุนด์ ที่ผลักดันนักเตะดาวรุ่งขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่และขายต่อในราคาสูง หรือ ไลป์ซิก ที่เป็นต้นแบบของการสร้างทีมใหม่โดยใช้เยาวชนเป็นหลัก 2. ความเข้มข้นในสนาม

Uno cardgame สุดคลาสสิกที่ทั้งง่าย สนุก และเต็มไปด้วยกลยุทธ์

Uno cardgame คือการ์ดเกมที่สามารถเล่นได้ทุกเพศทุกวัย เล่นง่ายแต่ไม่ซ้ำกันในแต่ละรอบ เพราะเต็มไปด้วยความพลิกผันและกลยุทธ์เฉพาะตัว เกมนี้ถือกำเนิดขึ้นในปี 1971 โดย Merle Robbins จากรัฐโอไฮโอ ประเทศสหรัฐอเมริกา เดิมทีเป็นเกมที่เขาดัดแปลงจากเกม Crazy Eights ให้มีกติกาชัดเจนและเข้าใจง่าย ต่อมาถูกบริษัท International Games และต่อมาถูก Mattel ซื้อสิทธิ์ไปผลิตและจัดจำหน่าย ทำให้ Uno cardgame กลายเป็นหนึ่งในการ์ดเกมที่ขายดีที่สุดในโลก ปัจจุบัน Uno ไม่ได้มีแค่เวอร์ชันคลาสสิกเท่านั้น แต่ยังมีหลากหลายรูปแบบ เช่น Uno Attack, Uno Flip, Uno Dare และเวอร์ชันธีมพิเศษ เช่น Uno Harry Potter หรือ Uno BTS

Pandemic บอร์ดเกมแห่งการร่วมมือเพื่อกอบกู้โลก

ในโลกของบอร์ดเกม มีเกมหนึ่งที่ขึ้นชื่อในด้านการทำงานเป็นทีม ความท้าทาย และการจัดการสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา นั่นคือ Pandemic ซึ่งถูกออกแบบโดย Matt Leacock และวางจำหน่ายครั้งแรกในปี 2008 ภายใต้ค่าย Z-Man Games จุดเด่นของเกมนี้คือการเล่นแบบ Cooperative Board Game หรือเกมร่วมมือกัน ผู้เล่นทุกคนต้องร่วมแรงร่วมใจเพื่อเอาชนะระบบเกม แทนที่จะแข่งขันกันเอง Pandemic จำลองสถานการณ์ที่โลกกำลังเผชิญกับการระบาดของเชื้อโรคร้ายแรง 4 ชนิด ซึ่งแพร่กระจายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ผู้เล่นรับบทเป็นทีมผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยควบคุมโรคระหว่างประเทศ ต้องเดินทางไปยังเมืองต่าง ๆ เพื่อรักษาผู้ป่วย ควบคุมการระบาด และค้นคว้าตัวยารักษาก่อนที่จะสายเกินไป แนวคิดหลัก Pandemic วางอยู่บนแนวคิดสำคัญคือ “ความร่วมมือและการจัดการวิกฤต” ผู้เล่นต้องช่วยกันคิด วางแผน และแบ่งหน้าที่เพื่อทำเป้าหมายให้สำเร็จ ไม่สามารถเอาชนะได้ด้วยการเล่นคนเดียว ทุกการตัดสินใจต้องคำนึงถึงประโยชน์ของทีมโดยรวม เกมนี้มีเป้าหมายคือ ค้นพบตัวยารักษาเชื้อโรคทั้ง 4 ชนิดให้ครบ